Burj Khalifa คือ แลนด์มาร์กอันดับ 1 ของดูไบ และเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงทะลุฟ้า 828 เมตร มากกว่า 160 ชั้น
นอกจากจะเป็นสถาปัตยกรรมสุดล้ำแห่งศตวรรษแล้ว ที่นี่ยังมอบประสบการณ์ที่หาไม่ได้จากที่ไหนในโลก เพียงไม่กี่วินาที...คุณจะได้

พุ่งขึ้นลิฟต์ความเร็วสูงสุดไปยัง ชั้น 124 และ 125 จุดชมวิวแบบเปิดโล่งที่มองเห็นเมืองดูไบแบบ 360 องศา หรือจะเลือกแบบพิเศษที่ ชั้น 148 – ที่ระดับความสูง 555 เมตร พร้อมเลานจ์หรูและบริการ VIP

แนะนำเวลา ไปช่วงเย็นจะได้เห็นสองบรรยากาศในครั้งเดียว ช่วงพระอาทิตย์ตก ท้องฟ้าสีทองสะท้อนตึกกระจกทั่วเมือง
หลังพลบค่ำ เมืองทั้งเมืองจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทะเลแห่งแสงไฟระยิบระยับ มองจากข้างบนเหมือนดาวกระจายอยู่ใต้เท้า

ไม่ว่าคุณจะมาเที่ยวคนเดียว มากับคู่รัก หรือครอบครัว…การขึ้นไปชมวิวที่ Burj Khalifa จะกลายเป็นหนึ่งในความทรงที่น่าประทับใจ

ห้างสรรพสินค้าทั่วไป…อาจใช้เวลาเดินไม่กี่ชั่วโมงก็ทั่วแต่ Dubai Mall ไม่ใช่ห้างธรรมดา เพราะนี่คือ ห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก
พื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางเมตร ใหญ่จนหลายคนพูดว่า “เดินได้ทั้งวันก็ยังไม่ครบ ที่นี่ไม่ได้มีแค่ร้านค้า แต่คือเมืองย่อส่วนที่มีทุกอย่างอยู่ในร่ม

ช้อปปิ้งระดับโลก แบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์อย่าง Chanel, Louis Vuitton, Gucci, Dior ไปจนถึงแบรนด์สตรีทอย่าง Zara, H&M มีครบทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ นาฬิกา น้ำหอม และของเล่น

Dubai Aquarium & Underwater Zoo พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดยักษ์กลางห้าง มีอุโมงค์ใต้น้ำให้เดินลอดชมฉลาม ปลากระเบน และสัตว์ทะเลหายากกว่า 33,000 ตัว เหมือนหลุดเข้าไปในโลกใต้ทะเลกลางเมือง!

ลานสเก็ตน้ำแข็ง กลางทะเลทรายแต่เล่นสเก็ตน้ำแข็งได้! ลานสเก็ตมาตรฐานโอลิมปิก ให้คุณสัมผัสประสบการณ์ที่ไม่คิดว่าจะมีในดูไบ

สวนสนุกในร่ม (VR Park Dubai) สวนสนุกแนว Virtual Reality ที่มีทั้งเครื่องเล่นเสมือนจริง รถแข่ง ยิงปืน หรือผจญภัยในโลกแฟนตาซี เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

จุดถ่ายรูปสุดอลัง แค่เดินเล่นก็คุ้ม! เพราะมีทั้งน้ำพุสุดอลังการ (Dubai Fountain), โซนไฟตกแต่งสวยงาม และแลนด์มาร์กสไตล์อาหรับหลายจุด มุมถ่ายรูปเปลี่ยนได้ทุก 10 ก้าว ไม่มีเบื่อแน่นอน

ร้านอาหารกว่า 200 ร้าน ทั้งอาหารท้องถิ่น อาหารญี่ปุ่น เกาหลี อิตาเลียน ไปจนถึงคาเฟ่และร้านขนมชื่อดังระดับโลก

ทะเลทรายซาฟารีในดูไบไม่ได้มีแค่ “นั่งรถลุยทราย” อย่างที่หลายคนคิดนะครับ เพราะทริปนี้คือแพ็กเกจประสบการณ์สุดเข้มข้น ที่รวบรวมความมัน ความสวย และความอาหรับไว้อย่างครบถ้วน มาดูกันว่า ไปทะเลทรายซาฟารี มีอะไรน่าทำบ้าง

ขับรถ 4WD ตะลุยเนินทราย (Dune Bashing) กิจกรรมสุดฮิตที่ทำให้หัวใจเต้นแรง! คนขับจะพาคุณลุยเนินทรายด้วยรถแลนด์ครุยเซอร์ขึ้นๆ ลงๆ แบบลุ้นทุกวินาที สนุกเหมือนนั่งรถไฟเหาะ แต่กลางทะเลทราย!

เล่น Sandboarding เหมือนสโนว์บอร์ด แต่เปลี่ยนจากหิมะเป็นทราย! ใครที่อยากลองสไลด์ตัวลงมาจากยอดเนินทราย ต้องไม่พลาดกิจกรรมนี้ สนุกทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตก นั่งบนหลังอูฐแล้วค่อยๆ เดินชมวิวทะเลทราย บรรยากาศสงบมาก โดยเฉพาะตอนที่แสงพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า สวยจนลืมหายใจ

ยิงธนู / ขว้างบูมเมอแรง (บางจุดบริการ) มีบางแคมป์ที่ให้ลองกิจกรรมพื้นเมืองสนุกๆ เหมาะสำหรับสายแอคทีฟ หรือครอบครัว

และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น เพ้นท์เฮนน่า ลองใส่ชุดพื้นเมืองและถ่ายรูป ดินเนอร์บุฟเฟต์แบบอาหรับใต้แสงดาว และชมโชว์ระบำหน้าท้อง / ระบำไฟ / การแสดงพื้นเมือง

มัสยิดจูเมราห์ (Jumeirah Mosque) ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมของดูไบ และยังเป็น หนึ่งในไม่กี่มัสยิด ที่เปิดต้อนรับผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามให้เข้าชมภายในได้อย่างเป็นทางการ

มัสยิดสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Fatimid อันงดงาม ตัวอาคารสีขาวสะอาดตา มีความประณีตทุกมุม และดูโดดเด่นทั้งในยามกลางวันและตอนเย็นที่แสงไฟสะท้อนตัวอาคารอย่างสวยงาม

ไฮไลต์ของที่นี่คือ “Cultural Tour” หรือทัวร์วัฒนธรรม ซึ่งจัดโดย Sheikh Mohammed Centre for Cultural Understanding (SMCCU)
โดยจะมีไกด์ชาวมุสลิมคอยอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ประเพณี เครื่องแต่งกาย การละหมาด ไปจนถึงการใช้ชีวิตของชาวอาหรับอย่างเป็นกันเอง และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมตั้งคำถามได้ทุกเรื่อง ไม่มีการบรรยายยากๆ หรือข้อห้ามเข้มงวดจนรู้สึกอึดอัด ที่นี่เน้น เข้าใจ-เคารพ-แลกเปลี่ยน

ข้อควรรู้:
– แต่งกายสุภาพ (ผู้หญิงควรคลุมศีรษะ มีชุดคลุมให้ยืม)
– ไม่มีค่าเข้าชม แต่มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยสำหรับไกด์
– เปิดให้เข้าชมตามรอบเวลาที่กำหนด

Dubai Frame คือแลนด์มาร์กสำคัญในรูปทรง กรอบรูปยักษ์ สูงกว่า 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยถูกออกแบบมาให้เป็น หน้าต่างแห่งกาลเวลา ที่เมื่อขึ้นไปด้านบน จะเห็นสองฝั่งของเมืองพร้อมกัน
ทางหนึ่งคือ ดูไบเก่า  เต็มไปด้วยบ้านเรือนแบบดั้งเดิม ตลาดพื้นเมือง และแม่น้ำครีก
อีกทางคือ ดูไบใหม่  ตึกระฟ้า ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ และวิวของ Burj Khalifa

จุดไฮไลต์คือ Sky Walk – พื้นกระจกใสตรงกลางที่ยาวตลอดแนว ทำให้มองเห็นพื้นด้านล่างแบบ 360 องศา ใครกลัวความสูงอาจมีขาสั่น แต่บอกเลยว่า วิวและรูปที่ได้จะสวยมากๆ

ไม่ว่าจะมาเพื่อถ่ายรูป หรือมาเพื่อเรียนรู้วิวัฒนาการของเมือง ดูไบเฟรมก็เป็นจุดเช็กอินที่ห้ามพลาด เพราะมันไม่ได้แค่สวย แต่มันเล่าเรื่องเมืองทั้งเมืองผ่านมุมมองเดียวได้อย่างน่าทึ่ง

สวนดอกไม้กลางทะเลทราย ที่ เหมือนยกเทพนิยายมาไว้จริงๆ ที่นี่คือ สวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใจกลางดูไบ และเปิดให้เข้าชมเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น (พฤศจิกายน – เมษายน) เพราะอากาศจะเย็นสบาย เหมาะกับการเดินเล่นชมสวนท่ามกลางดอกไม้กว่า 150 ล้านดอก 

จุดเด่น: ดอกไม้ทุกดอกถูกจัดแต่งเป็น งานศิลป์มีชีวิต เช่น เครื่องบิน A380 จากดอกไม้ทั้งลำ บ้านเจ้าหญิงในนิทาน ตัวการ์ตูนและสัตว์นานาชนิดที่เด็กๆ ต้องหลงรัก ซุ้มดอกไม้สีรุ้งที่ใครก็อยากแชะภาพไว้ เป็นสวนดอกไม้ที่ดูแลอย่างพิถีพิถัน แม้จะตั้งอยู่ใน กลางทะเลทราย ก็ตาม ถือเป็นความอัศจรรย์ด้านวิศวกรรมและภูมิสถาปัตย์ที่แท้จริง

Dubai Marina คือเขตริมน้ำสุดโมเดิร์นที่ล้อมรอบด้วยตึกระฟ้าทันสมัย เรือยอร์ชที่ให้บริการในบริเวณนี้มักจะเป็นเรือหรูพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ดาดฟ้าเปิดโล่ง เบาะนั่งสบาย ดนตรี เครื่องดื่ม และบางลำมีบริการอาหาร onboard ด้วย

ชมเส้นขอบฟ้า (Skyline) ของเมืองดูไบที่งดงามในมุมที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะตอน พระอาทิตย์ตก ที่แสงสีทองสะท้อนกับตึกแก้วสวยแบบตะลึง ล่องผ่านแลนด์มาร์กสำคัญ เช่น Ain Dubai (ชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก) และ Palm Jumeirah (เกาะรูปต้นปาล์ม) ได้รูปถ่ายวิวเมืองจากมุมกลางน้ำที่สวยและสงบกว่า บางโปรแกรมยังมีจัดปาร์ตี้บนเรือ หรือดินเนอร์ใต้แสงดาว โรแมนติกสุดๆ 

เหมาะสำหรับ: คู่รักที่อยากเติมบรรยากาศโรแมนติก กลุ่มเพื่อนที่อยากสัมผัสความไฮโซ หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวสายชิลที่อยากพักผ่อนแบบมีสไตล์

ตลาดพื้นเมืองของดูไบ ที่เป็นหัวใจหลักของวัฒนธรรมของดูไบ เพราะมีตลาดหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดเครื่องเทศ ตลาดทอง ตลาดเสื้อผ้า 

Gold Souk – โลกของทองคำ เดินเข้าไปแล้วตาแทบไม่กะพริบ! เพราะที่นี่คือ ตลาดทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีให้เลือกตั้งแต่เครื่องประดับเรียบหรู ไปจนถึงสร้อยทองหนักเป็นกิโล แถมยังสามารถต่อรองราคาได้ อาจได้ของดีในราคาดีกว่าที่คิด

Spice Souk – ตลาดเครื่องเทศที่หอมจนอยากอยู่ทั้งวัน ที่นี่คือสวรรค์ของสายกลิ่น พริกไทยหอม ลูกกระวาน อบเชย หญ้าฝรั่น และอีกสารพัดเครื่องเทศ ไม่ใช่แค่ซื้อกลับบ้าน แต่ยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมการปรุงอาหารของชาวอาหรับแบบต้นตำรับ
กลิ่นหอมโชยทุกย่างก้าว เหมือนหลุดไปอยู่ในหนังเรื่อง Aladdin

Textile Souk – สีสันแห่งผืนผ้าและแฟชั่นแบบอาหรับ ตลาดผ้าแห่งนี้เต็มไปด้วย ผ้าไหม ผ้าฝ้าย และเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม
รวมถึงผ้าพันหัว เคฟตาน และชุดท้องถิ่นที่สวยตาแตก! ใครอยากลองแต่งชุดสไตล์อาหรับ หรือหาของฝากแบบไม่ซ้ำใคร